วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

งานชิ้นที่2 วิเคราะห์ข่าว น.ส. ญาสุมินทร์ ดำพระทิก เลขที9




'สมบัติ' ซัดสูตรเลือกตั้ง กรธ. บิดเบือนประชาธิปไตย







     'สมบัติ' ซัดสูตรเลือกตั้ง กรธ. บิดเบือนเจตนารมณ์ประชาชน ไม่สะท้อนหลักความเที่ยงธรรม ปชต. เชื่อไม่ช่วยแก้ไขปัญหาซื้อสิทธิ์ขายเสียง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 3 พ.ย. 58 นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อดีตประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปการเมือง สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว แสดงความเห็นเกี่ยวกับการเลือกตั้งระบบจัดสรรปันส่วนผสม ตอนหนึ่งว่า คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ได้แถลงว่าระบบนี้จุดเด่นคือจะทำให้ไม่มีเสียงตกน้ำ แต่เป็นการแถลงที่ยังไม่เห็นภาพทั้งระบบ เพราะยังไม่บอกว่าจะกำหนดให้มี ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่ออย่างละเท่าไหร่ ทำให้ยังไม่สามารถวิเคราะห์ภาพรวมได้ว่าจะมีความเหมาะสมอย่างไรกับสภาพสังคมไทย แต่เห็นปัญหาเบื้องต้นหลายประการ คือ 1.การนำเฉพาะคะแนนของผู้สมัคร ส.ส.เขตที่แพ้มาเป็นคะแนนวัดความนิยมของพรรคว่าพรรคใดจะได้ ส.ส.มากหรือน้อย เป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์ของประชาชนอย่างชัดเจน เพราะคะแนนของประชาชนที่เลือกผู้ชนะจาก ส.ส.เขต จะถูกตัดทิ้งไป ไม่นำมาคำนวณเป็นคะแนนนิยมของพรรคที่ ส.ส.เขตได้รับการเลือกตั้ง กรณีนี้ก็เท่ากับว่า ส.ส.บัญชีรายชื่อเป็นตัวแทนของผู้แพ้ในเขตเลือกตั้งเท่านั้น ไม่ใช่ตัวแทนจากเจตนารมณ์ของประชาชนที่นิยมพรรคการเมือง การเลือกตั้ง ส.ส.เขตประชาชนอาจมีเหตุผลแตกต่างกัน บางส่วนอาจเลือกเพราะนิยมตัวบุคคล ไม่ได้นิยมพรรค แต่บางส่วนอาจนิยมพรรค ไม่ว่าพรรคจะส่งใครมาก็จะเลือก
"ดังนั้นวิธีการที่ กรธ.เรียกว่าระบบการจัดสรรปันส่วนผสม จึงไม่สะท้อนเจตนารมณ์ในการเลือกตั้งของประชาชน และที่สำคัญคือไม่สะท้อนหลักความเที่ยงธรรมในระบอบประชาธิปไตย พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือเรื่องสองเรื่องนี้นำมาผสมกันไม่ได้ เหมือนน้ำกับน้ำมัน" อดีตประธาน กมธ.ปฏิรูปการเมือง สปช. กล่าว
นายสมบัติ กล่าวต่อว่า 2.เรื่องการซื้อสิทธิขายเสียงในการเลือกตั้ง มีลักษณะเฉพาะหลายประการ ไม่เชื่อลองไปถาม กกต.ดู มีหลักฐานประจักษ์ยืนยันชัดเจนว่าการจัดการเลือกตั้งแบบเขตเดียวคนเดียวทำให้การซื้อเสียงรุนแรง และได้ผลที่สุด การซื้อเสียงไม่ได้ซื้อเฉพาะคนชนะ คนแพ้ก็ซื้อด้วยเหมือนกัน แต่ซื้อสู้ไม่ได้ ดังนั้นการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนจึงไม่ช่วยในการลดการซื้อสิทธิขายเสียงแต่อย่างใด 3.ระบบนี้จะยังคงมีปัญหาในทางปฏิบัติ เพราะมีโอกาสที่ผู้สมัคร ส.ส.เขตจะถูกใบเหลืองหรือใบแดง ทำให้ยังไม่มีผู้ชนะ ผู้แพ้ที่แน่นอน ทำให้ไม่สามารถประกาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อได้ และถ้า ส.ส.บัญชีรายชื่อเป็นเขตประเทศ ก็จะทำให้ประกาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อไม่ได้เลย
"คงต้องติดตามต่อไปว่าจะกำหนดให้มี ส.ส.เขต และส.ส.บัญชีรายชื่อจำนวนเท่าไร ถ้ากำหนดให้มีสัดส่วนใกล้เคียงกันก็มีโอกาสที่จะทำให้เกิดรัฐบาลผสมที่อ่อนแอได้ง่าย ซึ่งจะทำให้การเมืองไทยไม่มีเสถียรภาพเหมือนในอดีต" อดีตประธาน กมธ.ปฏิรูปการเมือง สปช. กล่าว


จากการวิเคราะห์ข่าว
      เมื่อวันที่ 3 พ.ย. 58 นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อดีตประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปการเมือง สภาปฏิรูปแห่งชาติ  ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว แสดงความเห็นเกี่ยวกับการเลือกตั้งระบบจัดสรรปันส่วนผสม ตอนหนึ่งว่า คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ  ได้แถลงว่าระบบนี้จุดเด่นคือจะทำให้ไม่มีเสียงตกน้ำ แต่เป็นการแถลงที่ยังไม่เห็นภาพทั้งระบบ เพราะยังไม่บอกว่าจะกำหนดให้มี ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่ออย่างละเท่าไหร่ ทำให้ยังไม่สามารถวิเคราะห์ภาพรวมได้ว่าจะมีความเหมาะสมอย่างไรกับสภาพสังคมไทย แต่เห็นปัญหาเบื้องต้นหลายประการ คือ 1.การนำเฉพาะคะแนนของผู้สมัคร ส.ส.เขตที่แพ้มาเป็นคะแนนวัดความนิยมของพรรคว่าพรรคใดจะได้ ส.ส.มากหรือน้อย เป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์ของประชาชนอย่างชัดเจน เพราะคะแนนของประชาชนที่เลือกผู้ชนะจาก ส.ส.เขต จะถูกตัดทิ้งไป ไม่นำมาคำนวณเป็นคะแนนนิยมของพรรคที่ ส.ส.เขตได้รับการเลือกตั้ง กรณีนี้ก็เท่ากับว่า ส.ส.บัญชีรายชื่อเป็นตัวแทนของผู้แพ้ในเขตเลือกตั้งเท่านั้น ไม่ใช่ตัวแทนจากเจตนารมณ์ของประชาชนที่นิยมพรรคการเมือง การเลือกตั้ง ส.ส.เขตประชาชนอาจมีเหตุผลแตกต่างกัน บางส่วนอาจเลือกเพราะนิยมตัวบุคคล ไม่ได้นิยมพรรค แต่บางส่วนอาจนิยมพรรค ไม่ว่าพรรคจะส่งใครมาก็จะเลือก
"คงต้องติดตามต่อไปว่าจะกำหนดให้มี ส.ส.เขต และส.ส.บัญชีรายชื่อจำนวนเท่าไร ถ้ากำหนดให้มีสัดส่วนใกล้เคียงกันก็มีโอกาสที่จะทำให้เกิดรัฐบาลผสมที่อ่อนแอได้ง่าย ซึ่งจะทำให้การเมืองไทยไม่มีเสถียรภาพเหมือนในอดีต" อดีตประธาน กมธ.ปฏิรูปการเมือง สปช. กล่าว


นางสาวญาสุมินทร์  ดำพระทิก  รปศ.581 เลขที่9 รหัสนักศึกษา 5810835109

งานชิ้นที่ 3 เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ น.ส.มายาวี ยีมาซา เลขที่25

เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535



       เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เป็นเหตุการณ์ที่ประชาชนเคลื่อนไหวประท้วงรัฐบาลที่ พล.อ.สุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรี และต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ระหว่างวันที่ 17-20 พฤษภาคม พ.ศ. 2535ซึ่งเป็นการรัฐประหารรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 นำไปสู่เหตุการณ์ปราบปรามและปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารกับประชาชนผู้ชุมนุม มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก (พล.อ.สุจินดาแถลงว่ามีผู้เสียชีวิต 40 คน บาดเจ็บ 600 คน)[1] และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
ชนวนเหตุ
เหตุการณ์ครั้งนี้ เริ่มต้นมาจากเหตุการณ์รัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 หรือ ปีก่อนหน้าการประท้วง ซึ่ง รสช. ได้ยึดอำนาจจากรัฐบาล ซึ่งมีพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็น นายกรัฐมนตรี โดยให้เหตุผลหลักว่า มีการฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างหนักในรัฐบาล และรัฐบาลพยายามทำลายสถาบันทหาร โดยหลังจากยึดอำนาจ คณะ รสช. ได้เลือก นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ มีการแต่งตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติขึ้น รวมทั้งการแต่งตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ 20 คน เพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่
หลังจากร่างรัฐธรรมนูญสำเร็จ ก็ได้มีการจัดการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 โดยพรรคที่ได้จำนวนผู้แทนมากที่สุดคือ พรรคสามัคคีธรรม (79 คน) ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยมีการรวมตัวกับพรรคร่วมรัฐบาลอื่น ๆ คือ พรรคชาติไทย พรรคกิจสังคม และพรรคราษฎร[2] และมีการเตรียมเสนอนายณรงค์ วงศ์วรรณ หัวหน้าพรรคสามัคคีธรรมในฐานะหัวหน้าพรรคที่มีผู้แทนมากที่สุด ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ปรากฏว่า ทางโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา นางมาร์กาเร็ต แท็ตไวเลอร์ ได้ออกมาประกาศว่า นายณรงค์ นั้นเป็นผู้หนึ่งที่ไม่สามารถขอวีซ่าเดินทางเข้าสหรัฐฯ ได้ เนื่องจากมีความใกล้ชิดกับนักค้ายาเสพติด
ในที่สุด จึงมีการเสนอชื่อ พล.อ. สุจินดา คราประยูร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน ซึ่งเมื่อได้รับพระราชทานแต่งตั้งอย่างเป็นทางการแล้ว ก็เกิดความไม่พอใจของประชาชนในวงกว้าง เนื่องจากก่อนหน้านี้ในระหว่างที่มีการทักท้วงโต้แย้งเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นมาใหม่ว่า ไม่มีความเป็นประชาธิปไตยซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ได้ถูกประกาศใช้
พรรคเทพ พรรคมาร
พรรคเทพ พรรคมาร เป็นคำที่สื่อมวลชนใช้เรียกกลุ่มพรรคการเมืองในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ที่แบ่งแยกเป็น ฝ่ายชัดเจน พรรคที่ถูกเรียกว่า พรรคเทพ คือพรรคที่ประกาศตัวเป็นฝ่ายค้าน ไม่สนับสนุนการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ผู้นำคณะรัฐประหาร รสช. ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และได้ประกาศต่อสาธารณะมาตลอดว่าจะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยที่กระแส "นายกฯ ต้องมาจากการเลือกตั้ง" เป็นกระแสหลักของสังคมไทยในขณะนั้น พรรคเทพ ประกอบด้วย พรรคการเมืองคือ พรรคความหวังใหม่ (72 เสียง) พรรคประชาธิปัตย์ (44 เสียง) พรรคพลังธรรม (41 เสียง) และพรรคเอกภาพ (6 เสียง)
ในขณะที่ พรรคมาร คือพรรคที่สนับสนุน พล.อ.สุจินดา คราประยูร ประกอบด้วยพรรคการเมือง พรรค ได้แก่ พรรคสามัคคีธรรม (79 เสียง) พรรคชาติไทย (74 เสียง) พรรคกิจสังคม (31 เสียง) พรรคประชากรไทย (7 เสียง) และพรรคราษฎร (4 เสียง) ซึ่งก่อนเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬมีกระแสเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง และทั้ง พรรคนี้ต่างเคยตอบรับมาก่อน แต่ในที่สุดกลับหันมาสนับสนุน พล.อ.สุจินดา คราประยูร และเห็นว่าเป็นการพยายามสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร (รสช

    วิเคราะห์เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เป็นเหตุการณ์ที่ประชาชนเคลื่อนไหวประท้วงรัฐบาลที่มีพลเอกสุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรี และต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ระหว่างวันที่ 17-24 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ซึ่งเป็นการรัฐประหารรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 นำไปสู่เหตุการณ์ปราบปรามและปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารกับประชาชนผู้ชุมนุม มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก (พลเอกสุจินดาแถลงว่ามีผู้เสียชีวิต 40 คน บาดเจ็บ 600 คน) [1] และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

อ้างอิง http://pirun.ku.ac.th/~b521080372/Untitled-4.html

นางสาว มายาวี ยีมาซา เลขที่ 25  รหัสนักศึกษา 5810835125รปศ.581

งานชิ้นที่ 2 วิเคราะห์ข่าว นางสาว มายาวี ยีมาซา เลขที่ 25

     



         
       เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2558 มีการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เพิ่มเติม ครั้งที่ 67/2558 ซึ่งถือเป็นการประชุม สปช. ครั้งสุดท้าย โดยมีวาระสำคัญ คือการลงมติว่าจะเห็นชอบกับ ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. …. ที่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กมธ.ยกร่างฯ) เสนอ หรือไม่ และจะตั้งคำถามพ่วงไปในการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฯ หรือไม่ หากตั้งจะใช้คำถามใด ระหว่างให้ปฏิรูปประเทศต่ออีก 2 ปี หรือหลังการเลือกตั้งให้มีรัฐบาลปรองดองเป็นเวลา 4 ปี
เวลา 10.30 น. นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช. ออกนั่งบัลลังก์ เริ่มต้นการประชุม
ผลการลงมติที่ใช้เวลาเพียง 30 นาที ปรากฎว่า ที่ประชุม สปช. มีมติไม่เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนมูญฯ ฉบับนี้ ด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบเพียง 105 เสียง ไม่เห็นชอบ 135 เสียง และงดออกเสียง 7 เสียง
ผลจากการลงมติครั้ง ไม่เพียงทำให้ร่างรัฐธรรมนูญฯ ตกไป ยังจะทำให้ กมธ.ยกร่างฯ ทั้ง 36 คน ต้องพ้นจากตำแหน่งไปพร้อมกับสมาชิก สปช. ทั้ง 247 คนด้วย
ทั้งนี้ ตามร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 39/1 กำหนดว่า ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ กมธ.ยกร่างฯ พ้นจากตำแหน่ง หรือนับจากวันที่ร่างรัฐธรรมนูญฯ ตกไป ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แต่งตั้ง คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาชุดหนึ่ง ประกอบด้วยประธานกรรมการ 1 คน และกรรมการอีกไม่เกิน 20 คน เพื่อทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน ก่อนนำไปจัดทำประชามติต่อไป ภายใน 45-60 วัน
นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช. กล่าวภายหลังการลงมติว่า เมื่อที่ประชุม สปช. ไม่เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฯ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องลงมติเรื่องคำถามในการทำประชามติอีก
วันนี้ เป็นการประชุม สปช.ครั้งสุดท้าย จะไม่มีการประชุมอีกแล้ว ขอขอบคุณสมาชิก สปช.และเจ้าหน้าที่ทุกคน ขอปิดประชุม สปช.เป็นการถาวรนายเทียนฉายกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผลจากการลงมติของ สปช.ครั้งนี้ จะทำให้โร้ดแม็ปสู่การเลือกตั้งของ คสช. และ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ต้องขยายออกไปอีก จากเดิมที่กำหนดไว้ว่า หากร่างรัฐธรรมนูญฯ ฉบับนี้ได้รับความเห็นชอบจาก สปช. และผ่านการทำประชามติ น่าจะจัดการเลือกตั้งได้ภายในเดือนสิงหาคม 2559 อาจต้องเลื่อนไปเป็นอย่างเร็วที่สุด คือต้นปี 2560.



อ้างอิง   http://thaipublica.org/2015/09/nrc-constitution-2558/


วิเคราะห์    
      เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2558 มีการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เพิ่มเติม ครั้งที่ 67/2558 ซึ่งถือเป็นการประชุม สปช. ครั้งสุดท้าย โดยมีวาระสำคัญ คือการลงมติว่าจะเห็นชอบกับ ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กมธ.ยกร่างฯ) เสนอ หรือไม่ และเมื่อเวลา 10.30 น. นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช. ออกนั่งบัลลังก์ เริ่มต้นการประชุมผลการลงมติที่ใช้เวลาเพียง 30 นาที ปรากฎว่า ที่ประชุม สปช. มีมติไม่เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนมูญฯ ฉบับนี้ ด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบเพียง 105 เสียง ไม่เห็นชอบ 135 เสียง และงดออกเสียง 7 เสียง
    ผลจากการลงมติของ สปช.ครั้งนี้ จะทำให้โร้ดแม็ปสู่การเลือกตั้งของ คสช. และ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ต้องขยายออกไปอีก จากเดิมที่กำหนดไว้ว่า หากร่างรัฐธรรมนูญฯ ฉบับนี้ได้รับความเห็นชอบจาก สปช. และผ่านการทำประชามติ น่าจะจัดการเลือกตั้งได้ภายในเดือนสิงหาคม 2559 อาจต้องเลื่อนไปเป็นอย่างเร็วที่สุด คือต้นปี 2560


นางสาวมายาวี ยีมาซา รปศ.581 เลขที่ 25 รหัสนักศึกษา 5810835125

งานชิ้นที่ 3 เหตุการฯ์ พฤษภาทมิฬ น.ส.ญาสุมินทร์ ดำพระทิก เลขที่ 9

เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535



       เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เป็นเหตุการณ์ที่ประชาชนเคลื่อนไหวประท้วงรัฐบาลที่ พล.อ.สุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรี และต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ระหว่างวันที่ 17-20 พฤษภาคม พ.ศ. 2535ซึ่งเป็นการรัฐประหารรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 นำไปสู่เหตุการณ์ปราบปรามและปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารกับประชาชนผู้ชุมนุม มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก (พล.อ.สุจินดาแถลงว่ามีผู้เสียชีวิต 40 คน บาดเจ็บ 600 คน)[1] และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
ชนวนเหตุ
เหตุการณ์ครั้งนี้ เริ่มต้นมาจากเหตุการณ์รัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 หรือ 1 ปีก่อนหน้าการประท้วง ซึ่ง รสช. ได้ยึดอำนาจจากรัฐบาล ซึ่งมีพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็น นายกรัฐมนตรี โดยให้เหตุผลหลักว่า มีการฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างหนักในรัฐบาล และรัฐบาลพยายามทำลายสถาบันทหาร โดยหลังจากยึดอำนาจ คณะ รสช. ได้เลือก นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ มีการแต่งตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติขึ้น รวมทั้งการแต่งตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ 20 คน เพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่
หลังจากร่างรัฐธรรมนูญสำเร็จ ก็ได้มีการจัดการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 โดยพรรคที่ได้จำนวนผู้แทนมากที่สุดคือ พรรคสามัคคีธรรม (79 คน) ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยมีการรวมตัวกับพรรคร่วมรัฐบาลอื่น ๆ คือ พรรคชาติไทย พรรคกิจสังคม และพรรคราษฎร[2] และมีการเตรียมเสนอนายณรงค์ วงศ์วรรณ หัวหน้าพรรคสามัคคีธรรมในฐานะหัวหน้าพรรคที่มีผู้แทนมากที่สุด ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ปรากฏว่า ทางโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา นางมาร์กาเร็ต แท็ตไวเลอร์ ได้ออกมาประกาศว่า นายณรงค์ นั้นเป็นผู้หนึ่งที่ไม่สามารถขอวีซ่าเดินทางเข้าสหรัฐฯ ได้ เนื่องจากมีความใกล้ชิดกับนักค้ายาเสพติด
ในที่สุด จึงมีการเสนอชื่อ พล.อ. สุจินดา คราประยูร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน ซึ่งเมื่อได้รับพระราชทานแต่งตั้งอย่างเป็นทางการแล้ว ก็เกิดความไม่พอใจของประชาชนในวงกว้าง เนื่องจากก่อนหน้านี้, ในระหว่างที่มีการทักท้วงโต้แย้งเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นมาใหม่ว่า ไม่มีความเป็นประชาธิปไตย, ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ได้ถูกประกาศใช้
พรรคเทพ พรรคมาร
พรรคเทพ พรรคมาร เป็นคำที่สื่อมวลชนใช้เรียกกลุ่มพรรคการเมืองในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ที่แบ่งแยกเป็น 2 ฝ่ายชัดเจน พรรคที่ถูกเรียกว่า พรรคเทพ คือพรรคที่ประกาศตัวเป็นฝ่ายค้าน ไม่สนับสนุนการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ผู้นำคณะรัฐประหาร รสช. ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และได้ประกาศต่อสาธารณะมาตลอดว่าจะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยที่กระแส "นายกฯ ต้องมาจากการเลือกตั้ง" เป็นกระแสหลักของสังคมไทยในขณะนั้น พรรคเทพ ประกอบด้วย 4 พรรคการเมืองคือ พรรคความหวังใหม่ (72 เสียง) พรรคประชาธิปัตย์ (44 เสียง) พรรคพลังธรรม (41 เสียง) และพรรคเอกภาพ (6 เสียง)
ในขณะที่ พรรคมาร คือพรรคที่สนับสนุน พล.อ.สุจินดา คราประยูร ประกอบด้วยพรรคการเมือง 5 พรรค ได้แก่ พรรคสามัคคีธรรม (79 เสียง) พรรคชาติไทย (74 เสียง) พรรคกิจสังคม (31 เสียง) พรรคประชากรไทย (7 เสียง) และพรรคราษฎร (4 เสียง) ซึ่งก่อนเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬมีกระแสเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง และทั้ง 5 พรรคนี้ต่างเคยตอบรับมาก่อน แต่ในที่สุดกลับหันมาสนับสนุน พล.อ.สุจินดา คราประยูร และเห็นว่าเป็นการพยายามสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร (รสช

    วิเคราะห์เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปรากฎการณ์ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ คือการชุมนุม  ของกลุ่มผู้เรีกยกร้องประชาธิปไตย ประกอบด้วยชนชั้นกลางเป็นจำนวนมาก ซึ่งเเตกต่างจากกรณี 14 ตุลาคม 2516 ทั้งนี้ เนื่องจาก 2 ทศวรรษที่ผ่านมา เศรษฐกิจและสังคมไทยได้พัฒนาไปมาก ทำให้ชนชั้นกลางที่เริ่มส่อเค้ามาตั้งเเต่ปี 2516 เห็นเด่นชัดขึ้นผู้ร่วมชุมนุมหลายคนมีโทรศัพท์มือถือ ขับรถเก๋งส่วนตัวไปร่วมชุมนุมและมีเป็นจำนวนมากที่มีกิจการเป็นของตัวเอง


นางสาว ญาสุมินทร์ ดำพระทิก เลขที่ 9 รหัสนักศึกษา 5810835109 รปศ .581